BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Wednesday, September 5, 2012

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 3

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 3




เช้าวันที่สามของผมที่เกาหลีก็เหมือนกับเข้าเมื่อวานครับ ผมตื่นมาด้วยสภาพงัวเงีย ๆ เนื่องจากอาการแฮงค์เล็กน้อยจากปาร์ตี้เบียร์เล็ก ๆ ตอนก่อนนอน และความเหน็ดเหนื่อยจากการท่องเที่ยวเมื่อวาน แต่ก็ต้องพยายามลากตัวเองไปล้างหน้า(แต่ไม่อาบน้ำ)แปรงฟัน และลงไปกินข้าวเช้าของโรงแรม อาหารเช้าของโรงแรมนี้ก็เหมือนกับอาหารเช้าของโรงแรมเมื่อวานคือมีผักดอง ๆ ๆ ผัก ๆ ๆ และมีโปรตีนอย่างเดียวคือไข่คน ซึ่งเห็นไลน์อาหารแล้วก็แอบเซ็งครับ แต่ก็ไม่ได้ไรมากเพราะว่าผมก็ไม่ได้หิวอะไรอยู่แล้ว ก็เลยกินพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่พอก้าวออกจากโรงแรมออกไป ลมที่โคตรจะหนาวก็ได้พัดถาโถมเข้าสู่ผม จนผมตกใจว่าทำไมวันนี้มันหนาวกว่าปกติ ก็เลยเปิดอุณหภูมิดูสักหน่อย ตัวเลขโชว์มาที่ -13 องศาเซลเซียส Oh Holyshit! หนาวจริงอะไรจริง หนาวขนาดที่ผมขึ้นไปนั่งในรถแล้วก็ยังหนาวอยู่ ต้องรอสักพักให้รถเปิด Heater ถึงจะพออุ่นขึ้นมาหน่อย เฮ้อ ทรมานจริง ๆ ไอ้อากาศที่หนาวเกินไปเนี่ย

ห้องอาหารเช้า พร้อมไลน์อาหาร

เป็นห้องเล็ก ๆ เลือกนั่งเอาตามสะดวก

อาหารเช้าของผม ไข่คน ข้าวต้ม น้ำส้ม และไข่ลวก

อาหารเช้าของเพื่อนผม เป็นอาหารเช้าที่ ..​ถ้าไม่หิวก็ไม่กินดีกว่า อะไรประมาณนั้น

ไลน์อาหารเช้า

ด้านหน้าของ ​Love Hotel ที่เป็นที่ซุกหัวนอนของผมครับ อ่านไม่ออกว่าโรงแรมชื่ออะไรเหมือนกัน

Lobby ให้อารมณ์ Love Hotel   มาก ๆ หุหุ
เป้าหมายแรกของวันนี้คือการเดินทางไปบริเวณบ้านพักประธานาธิบดีเกาหลีใต้ครับ ที่อเมริกาที่ทำงานของประธานาธิบดีจะชื่อว่า White House ทางเกาหลีใต้เค้าก็มีเหมือนกันเป็น Blue House แต่อันนี้เป็นบ้านพักเลยไม่ใช่ที่ทำงาน แต่ถึงแม้จะเป็นบ้านพัก ก็เป็นบ้านพักที่น่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก ๆ เพราะนอกจากตำรวจที่ยืนกันอย่างขวักไขว่บนฟุตบาธหน้าบ้านแล้ว ยังมีองครักษ์ส่วนตัวของประธานาธิบดียืนเฝ้าอยู่บนหลังคาบ้านอีก 4 คนด้วย ไม่รู้ว่าเจอใครน่าสงสัยแอบเข้าไปในบ้านนี่จะโดนปืน 4-6 สอยเอารึเปล่านะครับเนี่ย เจ้าบ้าน Blue House นี่เราไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปหรือเยี่ยมชมได้ แต่ว่าตรงบริเวณฝั่งตรงข้ามจะมีอนุสาวรีย์นก Phoenix อยู่ ก็เป็นที่สำหรับการถ่ายรูปที่สวยงามดีครับ เพราะมันจะเป็นลานกว้าง ๆ และก็นอกจากอนุสาวรีย์นี้แล้วก็มีคล้าย ๆ ซุ้มอะไรสักอย่างสไตล์เกาหลีให้ถ่ายรูปเล่นอีกด้วย


อนุสาวรีย์นก Phoenix น่าจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นอมตะของอะไรสักอย่าง

Blue House ของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เค้าครับ ฮวงจุ้ยดีมาก มีภูเขาอยู่ด้านหลัง และก็เห็นคล้าย ๆ จุดดำ ๆ อยู่บนหลังคามั้ยครับ นั่นคือองครักษ์ประจำบ้าน

อันนี้ซุ้มอะไรไม่รู้ตรงลาน มีกลองอยู่ด้วย ตอนแรกว่าจะขึ้นไปตี โดนตำรวจสาวเกาหลีห้ามไว้

อันนี้ลานหน้าอนุสาวรีย์นก Phoenix กว้าง ๆ สวย ๆ

Blue House หรือบ้านประธานาธิบดีอีกสักรูปครับ

พอเสร็จจากแวะถ่ายรูปกันที่ Phoenix Statue เราก็ไปต่อกันที่ The National Folk Museum of Korea หรือพิพิทธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลีนั่นเอง ตัวพิพิทธภัณฑ์นี่รู้สึกว่าจะเชื่อมต่อหรืออยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับพระราชวัง เคียงบ็อค เลย คือเหมือนว่ามาเที่ยว 1 ได้ถึง 2 อีกแล้วสำหรับสถานที่นี้ ในพิพิทธภัณฑ์นี่ก็จะมีส่วนจัดแสดงหลาย ๆ ส่วน เล่าชีวิต ประวัติศาสตร์ ประเพณีของชาวเกาหลี ในสมัยก่อน (สมัยประมาณที่ชอบเอามาทำซีรีย์เกาหลีย้อนยุคที่ช่อง 3 เอามาฉายอ่ะครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ายุคไหน) ก็พิพิทธภัณฑ์นี้ก็ทำมาได้น่าสนใจดีครับ มีทั้งหุ่นจำลอง รูปภาพ แผนภาพ อะไรต่าง ๆ นา ๆ ประกอบการเล่าเรื่องได้น่าสนใจดี แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือไกด์ไทยประจำทัวร์ จะอธิบายเป็นเรื่องเป็นราวละเอียดยิบน่าฟังและน่าติดตามมาก ๆ ครับ (ผมเห็นไกด์แต่ละทัวร์อธิบายกันได้ดีหมด ไม่รู้ว่ามีสอบความรู้พื้นฐานด้านประวัติศาสตร์เกาหลีกันก่อนจะมาเป็นไกด์รึเปล่า)

พอเสร็จจาก The National Folk Museum of Korea  พวกเราก็ไปต่อกันที่  พระราชวังเคียงบ็อคกันต่อ พระราชวังแห่งนี้ ก็เหมือนเป็นที่อยู่ของกษัตริย์เกาหลีสมัยก่อน อารมณ์ก็เหมือนวังที่เราเห็น ๆ กันในเรื่องแดจังกึม หรือหนังย้อนยุคอื่น ๆ ซึ่งหนังพวกนั้นไม่ได้มาถ่ายทำที่วังนี่นะครับ แต่ไปสร้างฉากจำลองไว้ และใช้ฉากดังกล่าวถ่ายทำมาเรื่อย ๆ พระราชวังนี่บอกตรง ๆ ว่าผมไม่ค่อยประทับใจอะไรมาก ไม่มีความยิ่งใหญ่สักเท่าไร ความสวยงามก็ไม่ค่อยมีมากนัก สู้สถาปัตยกรรมเจ๋ง ๆ ที่อื่นในเอเชียไม่ค่อยจะได้นัก (เช่นวัดพระแก้ว, นครวัด นครธม) แต่ก็เป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกดีครับ เหมือนเป็นลูกผสมระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยังไงยังงั้น แต่ยังไงก็ตามที่นี่ก็เหมาะแก่การถ่ายรูปดีครับ


พระราชวังมองเห็นแต่ไกล

เตียงนอนของเกาหลีสมัยก่อน เอ๊ะ ต้องใช้คำว่าฟูกสินะ

อันนี้พิธีสู่ขอ หรือแห่ขันหมากอะไรประมาณนั้น ฝ่ายหญิง

ส่วนนี่ฝ่ายชาย

เกี้ยวสำหรับแห่เจ้าสาวมั้งครับถ้าจำไม่ผิด

อันนี้จำไม่ได้ว่าอะไร

อันนี้น่าจะเป็นใส่อัฐิหรือศพหรืออะไรที่เกี่ยวกับความตาย ๆ นี่แหละครับ


พระราชวังเคียงบ็อคเค้าก็จะแบ่งเป็นหลาย ๆ ตึก ตึกห้องเครื่องบ้าง ตึกสนมบ้าง

แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าตึกไหนเป็นตึกไหน เพราะไกด์ไม่ได้บอก และก็อ่านตัวหนังสือจีนไม่ออก (สมัยก่อนเกาหลีใช้ตัวหนังสือจีนนะครับ เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นตัวหนังสือของชาติตัวเองสมัยกษัตริย์องค์ไหนสักองค์จำไม่ได้แล้ว)

หลังคาเค้าจะเป็นเหมือนจีน ๆ ผสมญี่ปุ่น สวยดี


อันนี้น่าจะเป็นท้องพระโรงนะครับ อยู่บนทะเลสาบ(ที่แข็งเป็นน้ำแข็ง) อีกทีนึง

อันนี้น่าจะตัววังหลัก เป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดล่ะครับ

บัลลังค์กษัตริย์มั้ง

พอเสร็จจากพระราชวังเคียงบ็อค พวกเราก็มุ่งหน้าไปกินอาหารเที่ยงกันต่อทันที เพราะเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงวันเข้าไปแล้ว ร้านที่ทางทัวร์พาไปในมื้อนี้เค้าว่าเป็นไฮไลท์ประจำทัวร์เลยนั่นก็คือ ข้าวต้มไก่ตุ๋นโสม (พิกัดร้านอยู่ที่ 37.566606,126.912392) ซึ่งก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าโสมนั้นทั้งคนจีน, คนเกาหลี หรือแม้แต่คนไทยต่างก็เชื่อว่าดีต่อสุขภาพ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งตัวผมเอง แม้ว่าจะเคยเรียนวิชาสมุนไพรมาตอนเป็นเภสัช แต่อ.ก็ไม่เคยกล่าวถึงหรือสอนถึงโสมแต่อย่างใดก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมันมากนัก และพาลทำให้ไม่เชื่อถึงสรรพคุณอันแสนจะเลิศเลอโอเว่อร์ของมันด้วย ส่วนอาหารในมื้อนี้ก็เป็น ข้าวต้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไก่ตุ๋นทั้งตัว ซึ่งตัวน้ำซุปจะมีกลิ่นและรสของโสมแบบแรง ๆ อยู่รวมถึงในถ้วยก็จะมีรากโสมให้มาด้วย 1 ชิ้น ส่วนตัวแล้ว ผมก็เฉย ๆ กับเจ้าอาหารจานนี้นะครับ จริง ๆ มันแอบจืดไปด้วย ผมต้องเติม พริกไทยกับซีอิ๊วลงไปเยอะกว่าที่มันจะมีรสชาติให้พอกินได้ขึ้นมาหน่อย แต่เพื่อนผมบางคนนี่กินแทบไม่ได้เลยเนื่องจากว่าโสมมันกลิ่นแรงมาก ๆ บางคนนี่กินไปแค่ 3-4 คำก็ไม่กินแล้วเลยล่ะครับ ก็ถ้าใครที่จะไปทัวร์เกาหลี ผมว่าทุกทัวร์คงพาไปกินอาหารเมนูนี้กันหมด แนะนำว่าให้ลองเผื่อ ๆ ใจเอาไว้หน่อยละกันนะครับ

อันนี้เป็นคำบรรยายเมนูจากในทัวร์ครับ "เมนูไก่ตุ๋นโสม อาหารบํารุง สุขภาพตำรับชาววังเสิร์ฟในหม้อดินท่ามกลางน้ำซุปที่กำลังเดือดพล่าน คัดเลือกไก่ขนาดกำลังเหมาะผ่านการเลี้ยงจนอายุได้ 45 วัน นำมาทำความสะอาด ควักเครื่องในออกจนหมดแล้วนำเครื่องยจีน อาทิเกาลัด เก๋ากี, พุทราจีนและรากโสมพร้อมด้วยข้าวเหนียวใส่ลงไปในตัวไก๋ แ้วผ่านการตุ๋นจนได้ที ไก่ล่อนจนสามารถรับประทานได้อย่างสะดวก และเพิ่มรสชาติด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเกาหลี เกลือ และพริกไทยป่น"


หน้าร้านไก่ตุ๋นโสมครับ

ในร้านเหมือนจะเป็นร้านทัวร์ลง แต่ผมก็แอบเห็นลูกค้ารายย่อยมากินอยู่บ้าง

กิมจิกับหัวไชเท้าไว้กินเล่น ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร

เหล้าโสม แม้ว่าผมจะเป็นคอเหล้า กินอะไรก็ได้ เจอเหล้าโสมเข้าไปนี่ก็ไปต่อไม่เป็นเหมือนกันครับ ฮ่า ๆ

ข้าวต้มไก่ตุ๋นโสม มาตอนแรกนี่ไม่มีรสชาติเลย ผมไม่ชอบอะไรที่มันจืด ๆ เลยต้องเติมเกลือ, พริกไทยลงไปเยอะเลย

เติมไปเติมมาค่อยกินได้ขึ้นมาหน่อย

ทางร้านมีไหตุ๋นโสมไว้โชว์ด้วย โสมที่ดีนี่ต้องปลูกกัน 7 ปี และก็ถ้าอันไหนเจ๋ง ๆ ก็จะมีรูปร่างเหมือนคน(มนุษย์)มาก ๆ บางอันมีอวัยวะเพศ มีหน้าอก ด้วย คือถ้าเหมือนนี่ก็เหมือนจริง ๆ เลยล่ะครับ

พอเสร็จจากการกินอาหารเพื่อสุขภาพ เราก็เดินทางไปต่อที่ KimChi School หรือโรงเรียนสอนทำกิมจิกันต่อ (พิกัด 37.594525,126.879371) การมาโรงเรียนกิมจินี่ผมว่าเป็นกิจกรรมที่เจ๋งที่สุดในทริปนี้แล้วล่ะครับ เพราะเราได้ลงมือทำกิมจิ อาหารโปรดของผมจากในทริปนี้ และก็ได้ใส่ชุดเกาหลีย้อนยุคเท่ ๆ พร้อมกับถ่ายรูปกับฉากต่าง ๆ แม้ว่าทางทัวร์จะให้พวกผมอยู่ที่โรงเรียนนี้ไม่นานเท่าที่ควร แต่การที่ได้รู้ขั้นตอนการทำกิมจิ, ความหลากหลาย, ประวัติศาสตร์ของกิมจิ และกิมจิกับชีวิตประจำวันของคนเกาหลีแล้ว มันก็เป็นอะไรที่บันเทิงใจดีครับ ชอบ ๆ เสียดายที่กิมจิที่โรงเรียนนี้ทำให้ชิมนั้นไม่อร่อยเท่ากิมจิที่กินตามร้านอาหารในทริปนี้ของผม รวมถึงกิมจิที่ทางโรงเรียนนี้ขายให้ซื้อกลับไปกินที่ไทยนั้น กลับเลวร้ายยิ่งกว่าคือแบบมันไม่อร่อยเลย (แถมขายถุงละตั้งหลายร้อย  ก็แบบเซ็งนิด ๆ ครับ


ทางครูสอนทำกิมจิบอกว่ามีกิมจิอยู่ประมาณ 200 แบบทั้งหมด ตัวผมเองเคยกินแค่แบบ ผักกาด, หัวไชเท้า แล้วก็อะไรอีกสักอย่างแค่นั้นเอง เรียกได้ว่ายังกินไม่ถึงเศษเสี้ยวของจักรวาลแห่งกิมจิเลยนะเนี่ย

อันนี้ที่ห้องเรียนครับ

ผักกาดของเราพร้อมซอสปรุงรสให้เป็นกิมจิ

คนนี้คือครูสอนทำกิมจิครับ แกเป็นคนตลกดี คือขนาดแกพูดเกาหลีแล้วไกด์แปลเป็นไทยแล้วยังตลกเลยครับ ชอบ ๆ เจ๊นี้มาก

เสร็จแล้วกิมจิฝีมือผม ไม่ค่อยน่ากินเท่าไรต้องเอาไปหมักอีกแปบนึง

อันนี้ฝีมือเพื่อนตัวอ้วนของผม

ถ่ายรูปกับอาจารย์นี่สักหน่อย
พอทำกิมจิกันเสร็จเราก็จะไปใส่ชุดเกาหลีถ่ายรูปกันต่อ ชุดขุนนาง, ทหารของเกาหลี นี่ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่ว่าถ้าเป็นชุดผู้ชายนี่ถ้าเป็นชุดสีแดงทั้งชุดและมีลวดลายตรงหน้าอกนี่จะเป็นขุนนางชั้นสูง ส่วนถ้าเป็นสีน้ำเงินทั้งชุดมีลวดลายก็จะเป็นขุนนางชั้นรองลงมา ส่วนแบบต่ำสุดคือมีสีน้ำเงินกับสีแดงผสมกับ (แบบรูปเพื่อนผมด้านล่าง) นี่ก็จะเป็นประมาณพวกทหาร อะไรพวกนั้นครับ ส่วนของผู้หญิงนี่ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าแต่ละชุดนี่มันต่างกันยังไง รู้แค่ว่าผู้หญิงใส่ออกมาแล้วส่วนใหญ่จะน่ารักครับ ชอบ ๆ




พอเสร็จจากโรงแรมกิมจิ เราก็ไปต่อกันที่การชมการแสดงของวง  Drum Cat - all-female percussion group หรือวงสาวล้วนเกาหลีตีกลองประชุม นั่นเอง วงนี้ก่อนจะไปรับชมการแสดง ผมก็ไม่เคยรู้จักหรือสนใจอะไรหรอกครับ เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าวงนี้เป็นวงที่ค่อนข้างดังเลย คือตัวเวทีที่เล่นนี่ก็เป็นเวทีประจำของทางวงเอง แล้วก็ค่าตั๋วแบบซื้อเดี๋ยวนี่ก็ใบละถึง 1500 บาท  (50,000 วอน) ไม่รู้เหมือนกันว่าซื้อแบบเหมาทัวร์แล้วจะราคาเท่าไร วงนี้ก็จะเป็นการแสดงแบบเอากลองมาตี ๆ ๆ พร้อมโชว์ลีลา ท่วงท่า เซ็กซี่ ๆ หรือทรงพลังแล้วแต่เพลง กลองก็จะไม่ได้มีแค่แบบเดียว มีกลองแบบหลากหลายมาก ๆ รวมถึงมีโชว์เดี่ยวบ้าง โชว์เป็นกลุ่มบ้าง แล้วก็มีไวโอลินมาแจมบ้าง และคั่นการแสดงในแต่ละชุดด้วยวงตลกสไตล์เกาหลี ที่ไม่ได้เป็นแบบ talk show แต่จะเป็นการแสดงใบ้ ซึ่งก็ค่อนข้าง entertain ดีครับ การมาดู Drum Cat  นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบจากทริปนี้ครับ เพราะว่านักแสดงสวยและเอ๊กซ์มาก เอ๊ยไม่ใช่ การแสดงเค้าเจ๋งดี ไม่เคยดูที่ไหนมาก่อน รายละเอียดเพิ่มเติมของวงดูได้ที่ http://www.drumcat.co.kr/Eng/
ส่วน รายละเอียดที่จัดแสดงดูได้ที่ http://www.myungbo.com/

ตัวโรงละครของ Drum Cat  อยู่ชั้นใต้ดินประมาณ 3 ชั้น

แสงสี ฉากเฉิก อลังการดีครับ

แต่ละคนนี่สวยเอ๊กซ์ เซ็กซี่และที่สำคัญ แขนโต!

คนนี้มือไวโอลิน ออกมาเล่นเป็นช่วง ๆ

คนนี้หัวหน้าวงครับ ผมชอบที่สุดล่ะน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใสดี

หัวหน้าวงอีกรูป

หัวหน้าวงแบบใกล้ ๆ น่ารักครับ

แต่ละคนนี่ขาวแทบจะเห็นเส้นเลือด คนกลางนี่เพื่อนผมชอบ

พอเสร็จจากการรับชม Drum Cat เราก็ไปต่อที่อาหารแบบเกาหลีมื้อสุดท้ายของทริปนี้ ก็เป็นอาหารอารมณ์ประมาณสุกี้ยากี้สไตล์เกาหลีเค้าล่ะครับ พิกัดของร้านจะอยู่ที่ 37.536888,127.000846 ร้านนี้จากที่ดูสภาพแล้วก็เป็นอีกหนึ่งร้านทัวร์ลงเช่นกัน รสชาติอาหารของมื้อนี้ก็ถือว่าใช้ได้ครับ อร่อยกว่าสุกี้ หรือ ชาบู สไตล์ไทย ๆ หรือ เกาหลี ในบ้านเราพอตัว และที่สำคัญคือสามารถเติมเนื้อหมูได้เรื่อย ๆ ด้วย แต่มันจะยิ่งอร่อยกว่านี้สำหรับมื้อนี้ถ้ามีน้ำจิ้มเผ็ด ๆ แซ่บ ๆ แบบไทยกินคู่กันไป (พี่ไกด์จริง ๆ เอาน้ำจิ้มเผ็ดไปด้วยครับ แต่พอดีมันหมดตั้งแต่มื้อก่อนหน้านี้แล้ว มื้อนี้ก็เลยอดไปตามระเบียบ ดังนั้นใครที่ขาดความแซ่บไม่ได้ผมแนะนำให้พกไปเองครับงวดหน้า) พูดถึงร้านทัวร์ลงแล้ว ที่กรุงเทพหรือเมืองไทยนี่ จริง ๆ ก็คงจะมีกระจายตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งนะครับ เพราะอย่างที่ผมไปทัวร์เชียงราย, ทัวร์เชียงใหม่ ทางทัวร์ก็สามารถพาผมไปร้านประมาณนี้ได้ตลอด แต่แบบพอให้หากินเองแล้ว ทำไมผมไม่เคยไปเจอะเจอกับร้านพวกนี้เลยก็ไม่รู้ -*-

ร้าน  Shabu Shabu แบบเกาหลีส่งท้ายมื้อสุดท้าย

ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก จัดโต๊ะ และเตรียมของไว้รองรับทัวร์แล้ว

เนื้อหมูสไลด์สไตล์เกาหลี จะหนา ๆ หน่อยไม่บางเฉียบแบบของญี่ปุ่นหรือเมืองไทย ซึ่งผมชอบมากกว่านะ เพราะกินแล้วมันได้ texture ดี

ภาพรวมของมื้อนี้ครับ มี shabu shabu , ผักดอง และก็บิบิมบับ

บิบิมบับแบบฉบับเกาหลี นึกว่าจะอร่อย ดันไม่อร่อยเท่าไร

ต้ม ๆ จนเดือดปุด ๆ ๆ ๆ

เดือดเสร็จก็เอาหมูใส่ลงไปแปบเดียวก็พร้อมกินล่ะครับ

ชอบผักกาดขาวร้านนี้มากกว่า อันใหญ่สุด ๆ เห็นในรูปอาจจะไม่ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วนี่ใหญ่กว่าหัวผมอีกนะครับ


พอกิน Shabu Shabu สไตล์เกาหลีกันเสร็จ ทางทัวร์ก็พาพวกเราไปซื้อของที่ Duty Free กันครับ (ผมไม่ได้ถ่ายรูปมา ลืมเอากล้องลงไป) หลังจากที่สำรวจ ๆ ดูจนทั่วแล้ว สรุปว่าที่ Duty Free ของเกาหลีนี่สิ่งที่คุ้มค่าและถูกที่สุดคือ น้ำหอมครับ น้ำหอมของที่นี่ถ้าซื้อ 3 ขวดขึ้นไป(มั้ง) จะลด 25% ซึ่งราคาแค่ขวดเดียวจริง ๆ ก็แทบจะถูกกว่าทุก ๆ ที่ที่ผมเคยเจอมาแล้ว แถมนี่ยังมาลดอีก 25% ผมเลยซื้อกลับมา 3 ขวดเลย นอกเหนือจากน้ำหอม ที่เด่น ๆ อีกอย่างก็คงเป็นพวกเครื่องสำอางค์สัญชาติเกาหลีครับ รู้สึกว่าจะมียี่ห้อนึงเลยที่เด่น ๆ ผมจำไม่ได้ว่าชื่อยี่ห้ออะไร ซอนวาซู อะไรประมาณนี้ มันจะเป็นเครื่องสำอางค์ที่ผสมโสมเกาหลีลงไปด้วย ซึ่งราคาที่ Duty Free เกาหลีนี่จะถูกกว่าแบบหลายเท่าเลย (เห็นเพื่อนบอกแป้งพัฟซื้อที่นั่น  800 บาทที่เมืองไทยขาย 3000 กว่าบาท) นอกเหนือจาก 2 อย่างนี้แล้ว ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่มันถูกเลยครับไม่ว่าจะเครื่องใช้ไฟฟ้า, ของแบรนด์เนม, เครื่องหนัง และ อื่น ๆ พวกที่เหลือนี่ซื้อเมืองไทยเอาดีกว่า  พูดถึง Duty Free  แล้วผมรู้สึกว่าที่เกาหลีนี่จะมีหลายยี่ห้อแข่งขันกัน ต่างจากบ้านเราที่จะมีแค่ยี่ห้อเดียวเป็นเจ้าตลาด และคงไม่มีใครมาทำแข่งสู้ได้เพราะว่าเส้นเค้าใหญ่

พอเสร็จจาก Duty Free ทัวร์ก็พาเราไปหย่อนลงอีก 1 ย่าน Shopping ครับ ย่านนี้มีชื่อว่าย่าน เมียงดง เจ้าย่านเมียงดง นี่ก็จะให้อารมณ์ประมาณ Siam Square บ้านเราคือจะเป็นย่าน Shopping แบบที่ร้านเล็ก ๆ แต่ละร้านจะมากระจุกตัวรวม ๆ กัน ไม่ได้อยู่บนตึกและก็เดินไปมาหากันระหว่างร้านบนถนน outdoor ย่านนี้จะเด่นพวกเครื่องสำอางค์สัญชาติเกาหลีแบบ low cost หน่อยพวก Edute, Skin Food   และอื่น ๆ ซึ่งผมไม่รู้จักและไม่คิดจะรู้จักเพราะไม่เคยใช้ ผมรู้แค่ว่าย่านนี้มีอาณาบริเวณประมาณสัก 2-3 ตร.กม. เท่านั้นไม่ใหญ่มาก แต่ว่ามีเจ้า Edute, Skin Food, อะไรนี่สักเกือบ  10 ร้านได้ คือแบบมียิบย่อยถี่ยิบจริง ๆ นอกจากเครื่องสำอางค์แล้ว พวกแฟชั่นแบรนด์ญี่ปุ่นเช่น Onitsuka Tiger, Uniclo หรืออื่น ๆ ก็มีกระจายตัวอยู่พอสมควร ร้านของกินข้างถนนก็มีอยู่ทั่ว รวมถึงร้านอาหารแบบเป็นหลักเป็นแหล่งก็มีค่อนข้างจะครบครัน ย่านนี้ก็ถือว่าเป็นย่าน  Shopping  ในฝันเลยครับ พอเสร็จจากย่านนี้พวกผม (หมายถึงกลุ่มเพื่อนที่ไปกัน) ก็แบ่งกันเป็น 2 กลุ่ม คือกลับโรงแรมนอน กับไปเที่ยวคลับเกาหลีต่อ ซึ่งผมเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกเนื่องจากเหนื่อยมากไม่ไหวแล้ว แต่เดี๋ยวจะเล่า ๆ ถึงคลับเกาหลีที่เพื่อนผมไปมาให้ฟังนะครับ

คลับเกาหลีนี่เค้าก็จะกระจุกตัวกันอยู่ในย่านใกล้ ๆ มหาลัยเกาหลี (จำชื่อย่านไม่ได้ครับ ฮงแด รึเปล่า?) ส่วนคลับที่เพื่อนผมไปกันนั้นชื่อว่า NB2 ซึ่งคลับที่เกาหลีนี่ก็จะเหมือน ๆ คลับอื่นทั่วโลก (ยกเว้นประเทศไทย) คือ จ่ายค่าเข้าไปก่อนแล้วจะได้ชิบไปแลกมาดริงค์ได้ 1 drink ส่วนเครื่องดื่มของที่เกาหลีนี่จะคิด drink ละประมาณ 150 บาท ​(5000 วอน) ซึ่งก็ถือได้ว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับคลับญี่ปุ่นที่ผมเคยไปมาหรือแม้แต่คลับในประเทศไทยเองก็ตาม คลับของที่เกาหลีก็จะเหมือนที่อื่นในโลก (นอกจากประเทศไทย จะพิมพ์อะไรซ้ำซ้อนวะ?ใช่มั้ยครับ ฮ่า ๆ) อีกอย่างคือ จะเป็น  floor ให้  dance ๆ กันส่วนพวกของก็จะมี locker ให้เก็บ เพื่อนผมบอกว่า เพศในคลับเกาหลีนี่แบ่งได้เป็น  ชาย ต่อ หญิง 9 : 1 เลยคือผู้หญิงน้อยมาก แต่ผู้หญิงที่ไปก็จะสวย ๆ เอ็กซ์ ๆ แรง ๆ กันหมด ส่วนผู้ชายนี่ก็จะมีคละเคล้ากันไป อย่างเพื่อนผมคนนึงมีหนุ่มเกาหลีหน้าตาแย่คนนึงมาเหมือนจะจีบ แต่เพื่อนผมหันไปเห็นหน้าก็แกล้งทำเป็นคุยกันไม่รู้เรื่องจนอีตานี่เดินหนีไปในที่สุด คือผมก็เขียนบรรยายได้ไม่ค่อยถึงอรรถรสสักเท่าไรเนื่องจากไม่ได้ไปเอง แต่จากที่ฟังเพื่อน ๆ ผมเล่ามาแล้ว ดูพวกมันจะติดใจกันน่าดูจนถึงขนาดจะจัดทริปไปเกาหลีคราวหน้าเพื่อไปคลับโดยเฉพาะเลยล่ะครับ

สรุปวันที่ 3 ณ เกาหลีของผม ก็เหน็ดเหนื่อยและสนุกสนานไปอีกวัน พรุ่งนี้วันสุดท้ายกิจกรรมไม่เยอะ แต่ก็มีอะไรให้พอเขียนถึงเหมือนกัน ยังไงก็ตามไปอ่านกันหน่อยนะครับ

ย่านเมียงดง แหล่งช้อปปิ้งของเกาหลีเค้า

ภายในร้าน Edute ที่ของเค้าถูกจริง และแถมเยอะดี

UniQlo ร้านยักษ์ก็มี

ให้อารมณ์เหมือน Siam Square แต่จะเย็น ๆ และสะอาดเป็นระเบียบกว่า

ร้าน Skin Food นี่ก็เยอะ

พวกของกินข้างทางแพงมากครับ ไม้ละ 90 บาทได้


มีสัตว์ทะเลเป็น ๆ อยู่ด้านหน้าร้านเหมือนร้านอาหารจีนเลย ตัวในช่องกลางแถวบนนี่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร ถามเจ้าของร้านเค้าก็บอกว่าไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร ให้อารมณ์เหมือนไส้เดือนยักษ์ลอยน้ำ ประมาณนั้นครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...