BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 5

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 5



หลังจากที่เมาและอิ่มอืดไปด้วยมื้อจัดหนักจากเพื่อนญี่ปุ่นของผม เมื่อคืนผมเลยได้หลับสนิทเป็นมื้อแรก แต่วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว โดยวันนี้ผมมีโปรแกรมไปกับทัวร์ญี่ปุ่น Club Tourism  อีกแล้ว ทัวร์วันนี้ก็จะคล้าย ๆ วันก่อนที่จะไปชมดอกไม้ดูธรรมชาติ อะไรเทือก ๆ นั้น โดยทัวร์นัดพวกผมตอน 07.20 น.เหมือนวันแรก และสถานที่นัดก็ที่เดียวกันคือบริเวณลานจอดรถด้านหลังโรงแรม Keio Plaza Shinjuku ใกล้ ๆ กับตึก Metropolitan ของเมือง ซึ่งจุดนัดนี้เหมือนจะเป็นจุดนัดที่ทัวร์ชอบใช้นัดกันเพราะผมเห็นมีรถทัวร์หลายคัน, กรุ๊บทัวร์หลายกรุ๊บจะมารวมพลกันตรงนี้เยอะมาก และการเดินมาที่จุดนัดนี่ก็ค่อนข้างสะดวก คือจากสถานี Shinjuku ออกทางประตูตะวันตก แล้วจะมีทางเดินใต้ดินเป็นอุโมงค์ยาว ๆ ประมาณสักเกือบ ๆ กิโลที่แบบพอโผล่มาก็เกือบถึงเลย สะดวกดีครับ

วันนี้ตอนแรกก็แอบกลัวเรื่อง golden week ของชาวญี่ปุ่นเหมือนกันเพราะวันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งนอกจากจะเป็นช่วง golden week แล้วยังเป็นวันเสาร์อีกต่างหาก และความหวาดระแวงของผมก็เป็นจริงเมื่อรถบัสคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไปจากชินจูกุแค่ไม่นาน ผมก็เจอกับฝูงมวลรถก้อนใหญ่ที่มุ่งหน้าออกต่างจังหวัดกันจนทำให้ผมติดตั้งแต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย โปรแกรมแรกของวันนี้คือการเดินทางไปยัง Hitachi Seaside Park พิกัด 36.402992,140.590677 สวนสาธารณะและกิจกรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ประจำจังหวัด Ibaraki จังหวัดด้านตะวันออกของโตเกียว ซึ่งถ้าขับรถก็อยู่ห่างไปประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เนื่องจากวันนี้รถติดบรรลัย (ผมไม่เคยเจอรถติดที่ญี่ปุ่นเลย) ทำให้การเดินทางกลายเป็น 3 ชั่วโมง และถ้าพี่โชเฟอร์ของผมไม่หน้าด้านมาแทรกคนอื่นแล้ว ผมว่าเผลอ ๆ คงจะกลายเป็น 4 ชั่วโมงได้อย่างไม่ยากเย็น คือตรงทางที่จะเลี้ยวเข้าเจ้าสวน Hitachi Seaside park นี่ เลนซ้ายของถนนซึ่งเป็นเลนที่จะเลี้ยวเข้าถูกรถยนต์วางทับอยู่เป็นระยะทางยาวมาก น่าจะสัก 2-3 กิโลได้ ซึ่งกว่าจะเขยิบไปแต่ละเมตรแล้วน่าจะกินเวลานานมากอยู่ อันนี้ก็เป็นอะไรที่น่าทึ่งเหมือนกันครับ เพราะถ้าเป็นที่เมืองไทย รถยนต์เมืองไทยคงไม่ได้ต่อคิวเป็นระเบียบแบบนี้ คงมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทหนึ่ง แล่นไปจอดแถว ๆ ตรงทางที่จะเลี้ยวเข้าเยอะมากมายแน่ ๆ คือผมเห็นรถที่มาเบียด, ปาด เข้าเลนซ้ายนี่แค่คันเดียว คือคันรถบัสของผม! นอกนั้น ไม่มีเลย ต่อแถวเป็นระเบียบ เลนกลางกับเลนขวาของถนนนี่แบบ โล่งงงงง เฮ้อ เห็นแบบนี้แล้วก็แอบทึ่งพี่ยุ่นเค้าครับ จำได้ว่าผมเคยดูรูปนึงเป็นรูปที่รถยนต์ต่อคิว ๆ กันยาวมาก ๆ อารมณ์ประมาณเดียวกันกับที่ผมเห็นในวันนี้ โดยพวกเขากำลังต่อคิวหนีออกจากเมืองที่เกิด Tsunami เมื่อปีที่แล้วกัน และแบบเลนส์ฝั่งตรงข้ามนั้นโล่งยาวไม่มีรถเลยสักคัน ซึ่งถ้าเป็นชาติอื่น ๆ ผมว่ามีวิ่งย้อนศรกันไปหมดแล้ว ไม่เหลือ อันนี้อย่าว่าแต่ Tsunami เลย ตรงซอยสุขุมวิท 2 ที่ลงจากทางด่วนพระราม 4 ผมเห็นรถวิ่งย้อนศรแล้วไปปาด ๆ เอาข้างหน้ากันเยอะมากกก (ผมไม่เคยทำนะ) คือแบบ เฮ้ย อะไรวะ แค่นี้ทำตามระเบียบกันหน่อยไม่ได้เหรอวะเนี่ย เฮ้อ

คนเยอะมาก ๆ ครับที่ Hitachi Seaside Park เนี่ย

แต่สวนเค้าอลังการดีนะครับ

มีรถไฟน่ารัก ๆ พาชมรอบสวนด้วย

ไปที่ทุ่งดอกทิวลิปกันก่อนเลย สวยงามดีครับ

ไม่รู้ดอกอะไรเหมือนกัน Flamengo ?

สวย ๆ ครับดอกไม้ แต่แอบหวังว่าจะอลังการกว่านี้นิดนึง

อันนี้ก็ดอกอะไรไม่รู้อีกแล้ว



เจ้าสวน Hitachi Seaside park นี่ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นสวนสาธารณะธรรมดา แต่แบบที่ไหนได้ พอเข้าไปแล้ว มันเหมือนกับเป็นเมืองย่อม ๆ เมืองนึงเลยก็ว่าได้ มีทั้งทุ่งดอกไม้ชนิดต่าง ๆ , สวนสนุก, ที่ปั่นจักรยานวิบาก, สนามพัตต์กอล์ฟ 18 หลุม, ชิงช้าสวรรค์, สนามหญ้าโล่ง ๆ ขนาดใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย คือให้อารมณ์เหมือนเป็นสวรรค์ของกิจกรรมกลางแจ้งอะไรประมาณนั้น ซึ่งคนญี่ปุ่นก็คงเห็นด้วยกับผมเพราะว่าครอบครัวเล็กครอบครัวน้อย ลูกเห็ดเล็กแดง คู่รัก อากงอาม่า มากันแบบมืดฟ้ามัวดิน จนสวนที่ใหญ่บรมแห่งนี้ดูเล็กลงไปถนัดตา highlight ของสวนนี้ที่ทัวร์ผมพามาคือมาดู ทุ่งดอกทิวลิป 3 ล้านต้นและทุ่ง Nemophelia  ขนาดยักษ์  4 ล้านต้น ซึ่งแม้ว่าวันที่ผมไปจะแดดจ้าลมดี อากาศถือว่า perfect สำหรับการมาเที่ยวอะไรแบบนี้ (ไม่แปลกที่คนญี่ปุ่นจะมากันเยอะมาก) แต่ว่าวันก่อน ๆ หน้าฝนได้ตกมาตลอดทั้งวันเลยทำให้ดอกทิวลิปแสนสวย และทุ่ง nemophilia นั้นลดความสวยงามลงไปพอสมควร แต่แม้ว่าดอกทิวลิปจะเหี่ยว ดอก nemophilia  จะหุบไปพอสมควร แต่ก็ยังคงสวยดูอยู่นะผมว่า โดยเฉพาะเจ้าทุ่ง nemophilia นี่แบบอลังการมาก ผมชอบ แต่(อีกแล้ว) เนื่องจากการเดินทางมาที่สวนนี้ใช้เวลาเยอะกว่าที่คาด หัวหน้าทัวร์เลยให้เวลาพวกผมแค่ 1 ชั่วโมง! หนึ่งชั่วโมกับสวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ (ดูจากแผนที่ใหญ่กว่าสนามกอล์ฟ 18 หลุมสัก  3-4 เท่าได้!) มันจะไปเดินทัน, ดื่มด่ำกับมันได้อย่างครบครับได้อย่างไรครับพี่ไกด์ครับ พวกผมเลยรีบ ๆ เดินไปยัง 2 จุดไฮไลท์นี้ รีบ ๆ ถ่ายรูปและก็รีบมาขึ้นรถกัน เฮ้อ เซ็ง

ดอกอะไรไม่รู้อีกแล้วครับ

ชิงช้าสวรรค์มีอยู่ทุกแหล่งท่องเที่ยว

มีทุ่งดอกไม้เต็มไปหมดสวยดีครับ

ถึงแล้วทุ่งดอก Nemophilia Highlight ของสวนนี้

ใหญ่โตอลังการดีครับ

แต่คนเยอะไปหน่อย ถ้าคนไม่เยอะนี่น่าจะแหล่มกว่านี้


เป็นเนินใหญ่ ๆ เนินนึงเลยล่ะครับ

อันนี้บ่อน้ำพุที่ทางเข้ากลาง ใหญ่โตอลังการ

ข้าวกล่องวันนี้ของผม

ดีกว่าเมื่อวันก่อนนิดหน่อย


พอเสร็จจากที่นี่เนื่องจากว่าเวลามันเลยจากกำหนดการไปพอสมควรแล้ว โปรแกรมที่ 2 ที่ตอนแรกทางทัวร์จะพาไปที่ตลาดปลาต่างจังหวัดก็เลยต้องม้วนเสื่อพับเก็บไป ผมล่ะเสียดายจริง ๆ เพราะผมชอบเดินตลาดมาก และนี่ยิ่งเป็นตลาดปลาอีกต่างหาก ฮือ ๆ เสียดาย จุดหมายที่ 2 ที่ไปคือศาลเจ้า Kasama Inari Jinja Shrine ศาลเจ้าอายุเก่าแก่กว่า 600 ปีที่มีต้น Wisteria ยักษ์อายุ 400 ปีอยู่ในตัวศาลเจ้าด้วย พิกัดศาลเจ้าก็ตามนี้เลยครับ 36.385417,140.253804 ตัวศาลเจ้านี่ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่นึง เหมือน ๆ กับแทบจะทุกศาลเจ้าที่ผมเคยไปมา คือศาลเจ้าหรือวัดที่ญี่ปุ่นเนี่ย ผมชอบอย่างนึงคือจะดีจะร้ายยังไง จะเล็กจะใหญ่ยังไง อย่างน้อยความสะอาดเค้าก็จะมาที่หนึ่งเสมอครับ คือแบบทุกวัด ทุกศาลเจ้านี่แบบสะอาดเอี่ยม หาขยะไม่เจอสักชิ้น และก็มีห้องน้ำสะอาด ๆ ไว้บริการอยู่ทุกที่ ซึ่งพอทำให้สะอาด เรียบร้อย มีสวัสดิการต่าง ๆ พร้อมไว้บริการนักท่องเที่ยว มันก็เลยทำให้แหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ มันดูดีขึ้น ดูน่าเที่ยวขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ที่ศาลเจ้านี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตัวอาคารหลักก็คล้าย ๆ ศาลเจ้าอื่น ต้น Wisteria แม้จะอายุเยอะแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับสวนที่ผมไปมาเมื่อ 2 วันก่อน ทางทัวร์ให้เวลาอยู่ที่นี่ 30 นาที พวกผมใช้กันแค่ 20 นาทีก็ครบแล้ว

ทางเข้าวัดครับ

คนเยอะอีกแล้ว

ต้น Wisteria อันแสนจะเก่าแก่ แต่ไม่อลังการเท่าเมื่อวานที่ไป

แต่ก็สวยพอสมควร

หมาจิ้งจอก สัตว์ที่ว่ากันว่าเป็นตัวสื่อสารระหว่างเทพกับมนุษย์

พวกรูปปั้นหมาจิ้งจอกพวกนี้ไม่รู้ทำไม มากอง ๆ สุม ๆ อยู่ตรงนี้

อันนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไร อนุสรณ์รึเปล่า?


จุดหมายที่ 3 และจุดหมายสุดท้ายของวันนี้คือ Ichikai ที่นี่เป็นทุ่งที่เต็มไปด้วยดอก Chiba Sakura (Pink Moss) พิกัด ของทุ่งนี้คือ 36.619378,140.119267 ทางทัวร์บอกว่าที่ทุ่งนี้เป็นหนึ่งในทุ่งดอก Chiba Sakura ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตอนที่ผมเห็นแว่บแรก มันแบบ..แอบเฉย ๆ อ่ะเพราะว่ามันแหว่ง ๆ โหว่ ๆ ยังไงไม่ทราบเจ้าดอก Chiba Sakura เนี่ย ให้เดาคิดว่าน่าจะเกิดจากฝนที่ตกมา 2 วันติด เพราะดู ๆ แล้วเหมือนว่าตัวดอกที่หุบ ๆ เหี่ยว ๆ ไปมันก็มีเยอะเหมือนกัน ซึ่งก็แอบเซ็งอีกแล้วครับ แต่ก็เดิน ๆ ถ่ายรูปดูครอบครัวญี่ปุ่นไปเรื่อย ๆ ก็พอไหวอยู่ อ้อ พูดถึงเจ้าทุ่งดอกชิบะ ซากุระ ผมเห็นโบรชัวร์โฆษณาทุ่งนึงที่อยู่บริเวณภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งแบบรูปที่ถ่ายมานี่สวยงามอลังการมากกก และเปิดจัดแสดงแค่ช่วงปลาย ๆ เมษาถึงต้นมิถุนายนแค่นั้นเอง ก็เผื่อว่าปีหน้าหรือปีนี้ใครสนใจก็ลองหาข้อมูลแล้วลองไปดูได้ครับ

แผนที่ของเจ้าสวนนี้ ดูในรูปแล้วอลังการดีมั้ยครับ?

ทุ่งก็ใหญ่ดีครับ แต่เจ้าดอก Chiba Sakura or Pink Moss นี่มันแหว่ง ๆ โหว่ ๆ ไงไม่ทราบ

แหว่ง ๆ โหว่ ๆ

แต่ก็แอบสวยดีเหมือนกันนนะครับ

อันนี้ไม่รู้ว่าดอกอะไร แต่มีปน ๆ แซม ๆ อยู่เล็กน้อย




ข้าง ๆ กันมีบ่อเก็บน้ำที่แบบสวยดีเหมือนกัน มีธงปลาคาร์ฟสัญลักษณ์วันเด็กผู้ชายของญี่ปุ่นด้วย

มีแท่นสูง ๆ ให้ขึ้นไปชมดอกไม้ด้วยครับ


เสร็จจากทุ่งนี้ ก็ได้เวลาเดินทางกลับโตเกียว ตอนแรกแอบหวังไว้ว่ารถจะไม่ติดเพราะยังไม่ใช่วันสุดท้ายของวันหยุดยาว แต่ความหวังของผมมันก็เป็นได้แค่ความหวังเพราะแค่ออกจากทุ่งมาไม่ทันไร ก็ต้องเจอกับรถติดไปตลอดทาง ตามกำหนดการคือ รถบัสจะไปเทียบท่าที่ชินจูกุตอน 19.00 น. แต่ด้วยสภาวะรถติดนี้ทำให้รถไปถึงเอาตอนสามทุ่มครึ่ง! ซึ่งตอนแรกพวกผมวางแผนกันไว้ว่าจะไปกิน Sushi สายพานราคาประหยัดที่ Shinakawa กันแต่ก็ต้องพับแผนนี้เก็บไปเพราะว่าร้านซูชิมักจะปิด 4 ทุ่ม ไม่อยากจะไปให้เสียเที่ยว ผมก็เลยลอง  search ๆ หาร้านราเมนแถวชินจูกุดูเพราะว่าร้านราเมนส่วนใหญ่จะปิดดึกหน่อย จึงเป็นที่มาของรีวิวร้านที่  8 ของผม

รีวิวร้านที่ 8 Menya Musashi - Shinjuku




พิกัดของร้านนี้ก็ตามนี้เลยครับ 35.695561, 139.698640 จากสถานีชินจูกุ เดินมาทางทิศเหนือไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว ผมกับเพื่อนไปถึงร้านนี้ตอนประมาณสี่ทุ่มเกือบครึ่ง ไปถึงก็ไม่รู้จะดีใจหรือตกใจหรือเซ็งดีเพราะว่า มีลูกค้าชาวญี่ปุ่นต่อคิวกินกันอยู่ประมาณ 10 คนได้ คือดีใจที่แบบร้านนี้คงอร่อยจริงไม่งั้นคงไม่มีคนต่อคิว, ตกใจเพราะว่านี่มันจะห้าทุ่มแล้วจะมากินข้าวอะไรกันดึก ๆ วะ(แล้วตัวมึงเองล่ะ คุณถาม?) เซ็งเพราะ ผมหิวมากแล้ว ต้องมารอคิวอะไรอีกเนี่ย แต่ด้วยอัตราการ Turnover rate ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างสูง ผมกะว่าคนนึงจะนั่งกินกันไม่เกิน 15 นาทีอย่างมาก ทำให้ประมาณ 5 ทุ่มผมก็ได้ลงไปนั่งที่เคาน์เตอร์ของร้านเรียบร้อย





ร้าน Menya Musashi นี่ คำแรกผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรส่วน Musashi นี่มาจากนักดาบชื่อดังในตำนาน Miyamato Musashi เจ้าของตำนานดาบสองมืออันลือลั่น ซึ่งร้านนี้ผมไม่รู้ว่ามีสาขารึเปล่า แต่แบบ ผมชอบร้านนี้อย่างนึงคือ พนักงานของทางร้านจะมีพูดกระตุ้นกันเป็นช่วง ๆ ด้วยภาษาญี่ปุ่นเท่ ๆ ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร ร้านนี้ก็เหมือนกับร้านราเมนอื่น ๆ คือต้องกดคูปองเพื่อสั่งอาหารและจ่ายเงินรวดเดียว แล้วระหว่างต่อคิวก็ยื่นคูปองให้กับพนักงานของทางร้าน เพื่อที่เค้าจะได้ไปเตรียมราเมนไว้ให้ พนักงานรับออเดอร์ของทางร้านนี้พูดอังกฤษได้ค่อนข้างดีและชัด โดยเราสามารถเลือกความเข้มของน้ำซุปได้ (thick, normal, soft) และเลือกปริมาณเส้นได้ (พนักงานจะถามไรไม่รู้ คนญี่ปุ่นจะตอบกลับไปทุกคนว่า Omori แปลว่าเพิ่มเส้น)

ส่วนราเมนของร้านนี้ก็มีให้เลือกแค่ 2 แบบคือราเมนธรรมดา กับ Tsukemen ผมกับเพื่อนเลือกราเมนธรรมดากัน แต่ว่าผมเห็นลูกค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะสั่ง Tsukemen และผมเห็นปริมาณ Tsukemen ที่ทางร้านนี้ให้แล้วแบบ..โอ้โห เยอะมาก จะเยอะไปไหน อ้อ สิ่งที่ชอบอีกอย่างของร้านนี้คือ แม้ว่าร้านนี้จะมีขนาดเล็ก เป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์หมดเลยจำนวน 18 ที่ แต่ตามที่เขียนไปข้างต้นคือ ลูกค้าส่วนใหญ่จะกินกันเร็ว และทางร้านก็มีระบบบริหารจัดการที่ดี คือแบบ พนักงานไม่ต้องลุกมาจากเคาน์เตอร์เลย ลูกค้ากินเสร็จ ยกจานกับแก้ว วางไว้ด้านบนเคาน์เตอร์ชั้นบน พนักงานก็เก็บจานไป เอื้อมมือมาเช็ดโต๊ะและวางตะเกียบไว้รอลูกค้าคนต่อไป สะดวก รวดเร็ว ประหยัดที่ ประหยัดคน ง่ายดี บางทีการที่ที่ดินมันแพง, ค่าแรงมันสูง ก็ทำให้คนเราคิดระบบอะไรที่มันมีประสิทธิภาพแบบนี้ขึ้นมาได้ดีนะครับ




เข้าถึงเรื่องอาหาร ราเมนในมื้อนี้มีแค่แบบเดียว เป็นราเมนเรือธงของร้าน ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอ่านว่าอะไร แต่มันจะราคา 1000 เยนและให้เนื้อกับไข่มาค่อนข้างจะลงตัว ไม่ต้องไปซื้อเพิ่มให้เมื่อยตุ้ม น้ำซุปราเมนของร้านนี้รู้สึกว่าตัวน้ำซุปหลักจะเป็นโชยุ แต่ผสมอะไรอย่างอื่นบ้างผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอดีไม่ใช่เซียนราเมน ตัวน้ำซุปรสชาติดี น่าจะเป็นน้ำซุปโชยุที่อร่อยที่สุด หรือเกือบ ๆ จะที่สุดที่ผมเคยกินมาเลย (แต่ผมไม่ค่อยได้กินน้ำซุปโชยุสักเท่าไรหรอก ฮา) ตัวเส้นก็จะเป็นเส้นราเมนธรรมดา ไม่ใช่เส้นเล็ก ไข่ก็เป็นยางมะตูมกำลังดี และมีหน่อไม้มาให้ด้วย 2 ซีก แต่ตัวทีเด็ดนั้นจะอยู่ที่เนื้อหมู โดยร้าน   Menya Musashi นี่ไม่ได้ให้มาเป็นหมูชาชูเหมือนร้านอื่น ๆ แต่จะให้มาเป็นหมูตุ๋นชิ้นใหญ่ หนา อ้วน อร่อย จำนวน  2 ชิ้น (ค่อยสมกับราคา 1000 yen หน่อย) คือเจ้าหมูตุ๋นเนี่ย ผมกับเพื่อนกัดเข้าไปคำแรกแล้วต่างก็มองหน้ากันแล้วพูดว่า "อร่อยสัด" คือแบบมันอร่อยจริง ๆ ครับ เป็นอะไรที่เด่นที่สุดในชามแล้ว แต่ว่าองค์ประกอบอื่น ๆ ในชามก็จัดได้ว่าอยู่ในเกรด A นะครับ เพียงแค่ว่าไอ้หมูตุ๋นนี่เอาเกรด S ไปละกัน





สรุปร้าน Menya Musashi at Shinjuku นี่แหล่มเลยทีเดียวครับ ราเมนรสชาติเยี่ยม ปริมาณค่อนข้างเยอะ กินอิ่มกำลังดี ได้รับการการันตีจากผมและคนญี่ปุ่นที่มาต่อคิว และนั่งกันเต็มร้าน (ตอนผมกลับ  5 ทุ่มก็ยังมีคิวอยู่เลยครับ) อ้อ จริง ๆ มื้อนี้มีอาหารอีกอย่างคือ ข้าวหน้าหมูตุ๋น เหมือนทางร้านจะเอาเจ้าหมูตุ๋นเนี่ยมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ข้าวถ้วยเล็ก ๆ ให้เผื่อว่าใครกินราเมนแล้วไม่อิ่ม และปรุงรสเพิ่มเติมไปจากธรรมดาหน่อยคือจะใส่พริกลงไป แล้วมันจะเผ็ด ๆ หน่อย ก็เป็นอาหารตบท้ายที่ดีครับ เพราะผมพุ้ย ๆ แปบเดียวก็หมดแล้ว อร่อยดี!

ปล. ทำไมรีวิวมื้อนี้ผมรู้สึกว่าผมเขียนไม่ค่อยเป็นไปตามลำดับเวลาเลยวะเนี่ย ฮ่า ๆ

หลังจากกินเสร็จพวกผมก็รีบกลับห้องพักไปพักผ่อนกันเพราะว่าพรุ่งนี้ต้องมีโปรแกรมเดินทางไปต่างจังหวัดแต่เช้า จะไปที่ไหน? รบกวนตามลิงค์นี้ไปเลยครับ





--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...